ดอกลำโพง 18 นิ้ว 2242

ดอกลำโพง 18 นิ้ว 2242

ประโยค Yes No Question: บทที่4 Yes / No Question - Past Simple Tense424

คุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่า ผมสามารถจอดรถได้ตรงไหน I don't know where I can park the car. ผมไม่รู้ว่าผมสามารถจอดรถได้ตรงไหน สองประโยคด้านบน อันหนึ่งเป็นคำถาม อีกอันเป็นบอกเล่า แต่ทั้งคู่ก็เป็นการถามแบบอ้อมๆนั่นเอง มาดูเปรียบเทียบกันดีว่านะครับว่าการถามแบบอ้อมสุภาพกว่าการถามตรงๆอย่างๆไร Direct: What is your job? ถามตรง: คุณทำงานอะไร – ถามแบบนี้ต้องใช้เสียงนุ่มนวล ถ้าถามแบบเสียงแข็งๆ เหมือนจะหาเรื่องดูถูกอาชีพเขานะ.. Indirect: Could you tell what your job is? ถามอ้อม: ช่วยบอกอาชีพของคุณหน่อยค่า… – อันนี้ถ้าเติมเสียงหวานๆเข้าไปด้วยนี่ … รีบบอกโดยพลัน ครับผม.. I'm a farmer. ผมเป็นชาวนาครับ (มีที่นา 100 ไร่ สวนทุเรียนอีก 200 ไร่) Direct: What time is it? ถามตรง: เวลาเท่าไหร่ – เวลาเท่าไหร่ เกี่ยวอะไรกับคุณ พูดเสียงห้วนๆ ไม่บอกหรอก Indirect: Do you know what time it is? ถามอ้อม: คุณพอจะทราบไหมว่าเวลาเท่าไหร่แล้ว – อ๋อ.. ทราบครับ It's two o'clock. เวลา 2 โมงแล้ว การแต่งประโยค Indirect Question ประโยคคำถามแบบ indirect วลีหรือประโยคที่ตามหลังมา จะเรียงเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดานะครับ ไม่ต้องทำเป็นคำถามแต่อย่างใด (คำถามคือกริยานำหน้าประธานประโย) สามารถแต่งประโยคได้ทั้ง Yes-No question และ Wh question สำนวนที่ใช้นำหน้าจะเอาตัวไหนก็ได้ ขอยกตัวอย่างแค่อันเดียวนะครับ คือ Could you tell me… Yes-No Indirect Question yes-no question จะใช้ if กับ whether มาคั่นครับ สองคำนี้แปลว่า "ว่า…" คำตอบก็ Yes, No ธรรมดานั่นแหละครับ เหมือน กริยาช่วยทั้ง 24 ตัว เรียนรู้เพิ่มเติม ⇒ กริยาช่วยทั้ง 24 ตัว Could you tell me + if/whether Direct: Is she okay?

Answers

ไปเดินเล่นกันไหม Let's go shopping after lunch, shall we? หลังอาหารกลางวัน ไปหาซื้อของกันไหม -ถ้าประธานในท่อนแรกมีคำเหล่านี้ everybody, everything, nobody, every one สรรพนามในท่อนหลังเป็น they เช่น Everybody likes him, don't they? ทุกคนชอบเขาใช่ไหม Nobody is waiting for you, are they? ไม่มีใครกำลังรอคอยคุณใช่ไหม การตอบคำถาม Question Tag การตอบคำถามประเภทนี้ใช้ yes หรือ no เช่นเดียวกับ yes/no Question และใช้ในกฎเดียวกัน การตอบคำถามอาจจะแยกได้ตามชนิดของคำถามได้ดังนี้ -ถ้าเป็นคำถามประเภทแรก คือท่อนแรกเป็นประโยคบอกเล่า ท่อนหลังเป็นคำถามปฏิเสธ ต้องการคำตอบบอกรับมากกว่าปฏิเสธ แต่ในความเป็นจริงอาจจะเป็นปฏิเสธได้เช่นกัน คำถาม The man is your teacher, isn't he? ชายคนนั้นเป็นครูของคุณ มิใช่หรือ คำตอบ Yes, he is. ใช่, เขาเป็นครูของฉัน No, he isn't. เปล่า, เขาไม่ใช่ครูของฉัน You like her, don't you? คุณชอบเธอมิใช่หรือ Yes, I do. ใช่, ฉันชอบเธอ No, I don't. เปล่า, ไม่ชอบ They can speak Thai; can't they? พวกเขาพูดไทยได้มิใช่หรือ คำตอบ Yes, they can. ใช่, พูดได้ No, they can't. เปล่า, พูดไม่ได้ -ถ้าเป็นคำถามประเภทที่สอง คือท่อนแรกเป็นประโยคปฏิเสธ ท่อนหลังเป็นคำถามธรรมดา ต้องการคำตอบปฏิเสธมากกว่ารับ เช่นเดียวกับ Yes/No question ที่เป็นรูปปฏิเสธ มีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกัน และมีความสับสนในภาษาไทยเหมือนกัน You cannot speak Chinese, can you?

A: Did you watch TV last night? ตอบแบบกลาง B: Yes I did. หรือ No I didn't. ตอบแบบยาว B: Yes I watch TV Last night. หรือ No I didn't watch TV Last night. 3. ประโยคคำถามแบบ YES/NO Questions ที่ขึ้นต้นประโยคด้วย Model verb หรือ กริยาช่วย เช่น Will, would, shall, should, can, could, may, might ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบ Future tense เช่น Will you marry me? ( Future tense) คุณจะแต่งงานกับฉันไหม Shall I open the radio? ( Future tense) ฉันขอเปิดวิทยุได้ไหม May I go to your home tomorrow? ( Future tense) ฉันขอไปบ้านคุณพรุ่งนี้ได้ไหม การตอบคำถามก็มี 3 แบบเช่นเดิม A: Will class begin at 8 am tomorrow? ตอบแบบกลาง B: Yes it will. หรือ No it won't. ตอบแบบยาว B: Yes it wil begin at 8 am tomorrow. หรือ No it won't begin at 8 am tomorrow. 4. ประโยคคำถามแบบ YES/NO Questions ที่ขึ้นต้นประโยคด้วย Has, have, Had ซึ่งประโยคคำถามชนิดนี้จะเป็นได้ 4 tense คือ Present simple tense, Present perfect tense, Past simple tense, และ Past perfect tense โครงสร้างประโยคคำถามแบบ V. to have เป็นกริยาแท้ แบบอังกฤษ: Has, have, Had + S + O?

ค่าความจริงเป็นจริง (True) เราจะแทนด้วย T 2. )

Challenge

p∧q อ่านว่า p และ q มีค่าความจริงเป็นจริงแค่กรณีเดียว คือ p และ q มีค่าความจริงเป็นจริงทั้งคู่ เช่น p: กรุงเทพมหานครอยู่ในประเทศไทย q: เชียงใหม่อยู่ในประเทศไทย ดังนั้น p∧q มีค่าความจริงเป็นจริง เพราะ p มีค่าความจริงเป็นจริง และ q มีค่าความจริงเป็นจริง Trick!! ประพจน์ที่เชื่อมกันด้วย "และ" ถ้าเป็นเท็จ(F)แค่อันเดียว ก็ถือว่าประพจน์นั้นเป็นเท็จ 2. ) p∨q อ่านว่า p หรือ q มีค่าความจริงเป็นเท็จแค่กรณีเดียว คือ ทั้งp และq มีค่าความจริงเป็นเท็จทั้งคู่ ถ้ามองให้เห็นภาพง่ายขึ้น เราจะยกตัวอย่างสิ่งที่เห็นในขีวิตประจำวันบ่อยๆ คือคุณสมบัติการสมัครงาน วุฒิการศึกษาที่ต้องการ: วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขา คณิตศาสตร์ หรือ สาขาสถิติ พิจารณาข้อความดังกล่าว ถ้าเราไม่ได้จบทั้งสองสาขามาเราก็ไม่มีสิทธิสมัครงานนี้ได้ Trick!! ประพจน์ที่เชื่อมกันด้วย "หรือ" ถ้าเป็นจริง(T)แค่อันเดียว ก็ถือว่าประพจน์นั้นเป็นจริง 3. ) p→q อ่านว่า ถ้า p แล้ว q เป็นประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน โดย p เป็นเหตุ และ q เป็น ผล ประพจน์ ถ้า…แล้ว… เป็นเท็จได้กรณีเดียวเท่านั้น คือ ประพจน์ที่เป็นเหตุมีค่าความจริงเป็นจริง และประพจน์ที่เป็นผลมีค่าความจริงเป็นเท็จ Trick!!

you we they ประโยคคำตอบ Jenny: He She It at the concert yesterday. You We They ถามมา-ตอบไป กับโครงสร้าง: Where + was, were + ช่วงเวลาในอดีต Where was she three years ago? She was in the USA. What was your elementary school? My elementary school was NokAcademy school. When was he a student at NokAcademy? He was a student at NokAcademy school two years ago. Why was he a student at NokAcademy school? He was a student at NokAcademy school because his parents worked there. How long were they studying at NokAcademy School? They were studying at NokAcademy school for 5 years. เมื่อกริยาในประโยคเป็นกริยาแท้ ตามโครงสร้าง Wh-question + did+ subject+ verb 1+ …? Pinky: go last week? Danny: went to Japan last week. การใช้ Question Words ในการถามและตอบคำถาม หลัง Wh-Questions (What, Where, When, Why…. ) ทั้งหลายจะตามด้วย กริยาช่วย was /were แล้วตามด้วย ประธาน (Subject) นะจ้ะ และอาจจะมีส่วนขยายหรือไม่มีก็ได้เช่นกัน หลังกลุ่มคำพวกนี้ จะตามด้วยกริยาช่วย did แล้วตามด้วย ประธาน ( Subject) เท่านั้นเด้อจร้า นอกจากนี้การใช้ Wh- question ซึ่งเป็นประธานให้สังเกตว่า ใคร กับ อะไร จะอยู่หน้าประโยคเมื่อแปลเป็นไทย Lucy: Where did she go last night?

สวัสดีค่ะนักเรียน ม.

= พวกเรากำลังรอใครอยู่กันนะ? Whom are you going to travel with? = เธอกำลังจะไปเที่ยวกับใครนะ Which = อันไหน/สิ่งไหน ใช้ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามเพื่อให้ เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ ทำว่าสิ่งไหน อันไหน ดังประโยคด้านล่างนะคะ Which is better? แปล อันไหนดีกว่ากัน How = อย่างไร/เท่าไร ตัวอย่างเช่น How do you go to school? แปลว่า เธอไปโรงเรียนยังไง How do you do? เป็นคำถามทักทายแปลว่า คุณเป็นอย่างไรบ้าง เวลาตอบก็ตอบ How do you do? ตารางสรุปประเภทของ Wh-Questions Wh-Questions กริยา ประธาน ส่วนที่เหลือในประโยค When (เมื่อไร) Why (ทำไม) Who (ใคร) What (noun) ( อะไร) Where (ที่ไหน) was were Subject + ……………? did Verb 1 + ……? How ( อย่างไร เท่าไร) How many + N. (พหูพจน์) = มากเท่าไร How much + N. (นับไม่ได้) = มากเท่าไร How long ( ยาวนานเท่าไร) การใช้ Question word ในการถามและตอบคำถามเมื่อกริยาในประโยคเป็น be ( verb to be) ทำได้ตามโครงสร้างดังนี้ค่ะ " Wh+ was+ subject (singular)+ …………….? " Wh+ were+ subject (plural)+ …………….? " ตัวอย่าง ( Examples) ดังในตาราง ประโยคคำถาม Liza: Where he she it I yesterday?

Examples

  • ประโยค yes no question line
  • ประโยค yes no question worksheet
  • หลักการใช้ Yes/No Questions - laksika
  • ประโยค yes no question template

Do you know เป็นการถามคำถาม: when they left เป็น noun clause Do you know when the first wheel was invented? (c) Whose pen is this? S V (b) Tell me who that boy is. (d) Tell me whose pen this is. ในประโยคคำถามที่คำนามหรือสรรพนามวางอยู่หลังคำกริยาหลัก be เมื่อทำเป็น noun clause แล้วจะวางอยู่หน้า be ดังข้อ (b) และ (d) (e) Who is in the office? (g) Whose pen is on the desk? (f) Tell me who is in the office (h) Tell me whose pen is on the desk. Prepositional phrase (เช่น in the office) จะไม่วางไว้หน้า be ใน noun clause ดังข้อ (f) และ (h) NOUN CLAUSE ที่ขึ้นต้นด้วย IF หรือ WHETHER YES/NO QUESTION (a)Is Eric at home? (c) Does the bus stop here? (e) Did Alice go to Chicago g) I don't know if Eric is at home or not. (h) I don't know whether Eric is at home (or not). NOUN CLAUSE (b) I don't know if Eric is at home. (d) Do you know if the bus stops here? (f) I wonder if Alice went to Chicago. เมื่อใช้ if ขึ้นต้น noun clause สำนวน or not อาจวางไว้ท้ายวลีดังข้อ (g) ในข้อ (h) whether มีความหมายเดียวกับ if เมื่อคำถามมีลักษณะต้องการคำตอบแบบ yes/no (หรือที่เรียกว่า Yes/No Question) ถูกเปลี่ยนเป็น noun clause เราจะใช้ if ขึ้นต้น clause* การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words (ได้แก่คำว่า what where when why how) มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1.

ประโยค yes no question challenge

จำแค่กรณีเดียว คือ หน้าจริงหลังเท็จได้เท็จ นอกนั้นจริงหมด 4. ) p↔q อ่านว่า p ก็ต่อเมื่อ q มีค่าความจริงเป็นจริงก็ต่อเมื่อ p และ q มีค่าความจริงเหมือนกัน ถ้า p มีค่าความจริงเป็นจริง q ก็ต้องมีค่าความจริงเป็นจริง ประพจน์นี้ถึงจะมีค่าความจริงเป็นจริง ตัวอย่างจาก ข้อ 3. ) Trick!! วิธีจำคือ เหมือนจริง ต่างเท็จ ตัวอย่าง 1. ) ประโยคต่อไปนี้เป็นประพจน์หรือไม่ บอกเหตุผลประกอบ 1. 1) เธอว่ายน้ำเป็นหรือไม่ 1. 2) มีคนอยู่บนดาวอังคาร 1. 3) ถ้า x เป็นจำนวนเต็มแล้ว x +0 = x 1. 4) กรุณาถอดรองเท้า แนวคำตอบ 1. 1) ไม่เป็นประพจน์ เพราะเป็นประโยคคำถาม 1. 2) เป็นประพจน์ เพราะสามารถตอบได้ว่ามีค่าความจริงเป็นเท็จ 1. 3) เป็นประพจน์ เพราะ เรารู้ว่า x คือจำนวนเต็ม เราจึงรู้ว่าค่าความจริงเป็นจริง 1. 4) ไม่เป็นประพจน์ เพราะเป็นประโยคขอร้อง 2. ) บอกค่าความจริงต่อไปนี้ 2. 1) 5 เป็นจำนวนเฉพาะและเป็นจำนวนคี่ วิธีทำ ดังนั้น มีค่าความจริงเป็นจริง 2. 2) 8 เป็นจำนวนคี่หรือจำนวนคู่ 2. 3) ถ้า 3 หาร 9 ลงตัวแล้ว 9 เป็นจำนวนคู่ ดังนั้น มีค่าความจริงเป็นเท็จ 2. 4) 20 เป็นจำนวนคู่ ก็ต่อเมื่อ 20 หารด้วย 2 ลงตัว ดังนั้น มีค่าความจริงเป็นจริง